น้ำหอม แบรนด์ VS น้ำหอม ก๊อป..... ความจริงในขวดแก้วแห่งเงินตรา (ตอนจบแล้วครับ)
มาถึงตอนจบของไตรภาคบทแรกแล้วครับ ...... หลังจากที่เราได้รู้จักว่าน้ำหอมก๊อปในบ้านเราผลิตกันยังไง และมีอะไรเป็นจุดบอดบ้าง ผมจะกล่าวถึงน้ำหอมแบรนด์ในแบบเดียวกันอย่างรวบรัดที่สุดนะ...
เริ่มต้นที่กระบวนการผลิตกลิ่น (ปรุงน้ำหอม) ... นักปรุงน้ำหอมส่วนใหญ่จะวาง Objective ของกลิ่นเอาไว้ก่อนทำการผสมจริงเสมอ เช่นน้ำหอมสำหรับสาวหวาน สีชมพู เซ็กซี่ และอ่อนโยนเหมือนดอกไม้ .... จากนั้นเขาจะไปสรรหาส่วนผสมชั้นดี ซึ่งมีทั้งสารเคมี (ราวๆ 99%) และอาจมีน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติผสมบ้าง (ราวๆ 1%) เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยมีราคาแพงครับ และควบคุมคุณภาพยากมากๆ
การผสมกลิ่นนั้น โดยส่วนใหญ่นักปรุงน้ำหอมนิยมใช้กลิ่นแนวหลัก (Accord) หลายๆแนวมาผสมกัน เช่น มะลิ กุหลาบ ลิลี่ แอปเปิล แพร์ เป็นต้น แล้วค่อยทำการปรับเปลี่ยน (Modify) กลิ่นผสมนั้นอีกที
แต่ก็มีหลายคนที่นิยมปรุงน้ำหอมโดยแบ่งกลุ่ม Top Middle และ Base note ...เอาล่ะ ยิ่งพูด เดี๋ยวจะยิ่งลึกครับ ว่างๆ ค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ยาวๆอีกที ....
เชื่อมั๊ยครับว่าราวๆ 50% ของน้ำหอมในท้องตลาดตอนนี้ .... ล้วนแต่เป็นกลิ่นที่ใกล้เคียงกันทั้งสิ้น น้ำหอมบางกลิ่น บางยี่ห้อ อาจเหมือน หรือโคตรเหมือนกับอีกยี่ห้อนึงก็ได้ครับ .... ผมไม่แน่ใจว่า Perfumer ผู้ผลิตเขาจงใจให้เหมือน หรือเป็นการตลาดรูปแบบหนึ่ง
ในปัจจุบันนักผสมน้ำหอมมีสารหอมให้เลือกใช้ 2000-3000 กลิ่น และเพิ่มขึ้นทุกปี ผมไม่เชื่อว่าการที่ผสมน้ำหอมออกมาแล้วกลิ่นคล้ายกันขนาดนี้ เป็นเรื่องบังเอิญครับ ..... แต่ที่น่าขำคือ "ผู้ซื้อ" บางคน ที่ชอบดมอย่างเมามัน แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วกลิ่นมันซ้ำกัน .... ต่อไปนี้หากท่านซื้อน้ำหอมกลิ่นออกใหม่ อย่าลืมเช็คกับของเดิมนะครับ จะได้ไม่ตกเป็นทาสการตลาด (ที่เขี้ยวสุดๆ)
เอาล่ะ ... เมื่อได้กลิ่นที่ต้องการแล้ว ก็ถึงกระบวนการผสม โดยจะนำหัวน้ำหอมผสมกับแอลกอฮอล์เหมือนน้ำหอมก๊อบเลยครับ ไม่มีอะไรมากมาย ..... การกำหนดประเภทของน้ำหอมเป็น EDP EDT และ EDC ก็คือขั้นตอนนี้ครับ
เมื่อผสมน้ำหอมเสร็จแล้ว น้ำหอมของแท้ทุกแบรนด์จะต้องผ่านการบ่มก่อน ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว เพื่อให้ส่วนผสมทั้งหลาย เกิดปฏิกริยากันอย่างสมบูรณ์ ได้กลิ่นที่ละมุน เสถียร และเข้ากันได้มากที่สุด
เทคโนโลยีการบ่มนี้ อาจมีหลายวิธี ซึ่งมักจะเป็นความลับทางอุตสาหกรรม เช่น การจ่ายกระแสไฟฟ้าไปที่ขั้วอาโนด (Anode) หรือการเติมผงเงินลงไปเพื่อเร่งการบ่มให้เร็วขึ้น ก็สุดแล้วแต่ครับ
จากนั้นก็จะนำน้ำหอมมากรองส่วนมลทินออกไป จนได้น้ำหอมที่ใสบริสุทธิ์ และมีกลิ่นหอมหวลชวนดม ...
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำหอมของแท้จะมีจุดเด่นอยู่ที่ "ขวด" ครับ .... แพคเกจจิ้งจะเป็นสัญลักษณ์และซิกเนเจอร์ให้กับน้ำหอมและแบรนด์นั้นๆ ..... ในปัจจุบันที่ประเทศเยอรมันมีการสอนสาขาวิชานี้ด้วยครับ ....
จริงๆขวดน้ำหอมสวยๆนี้ มีต้นทุนไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับธุรกิจชนิดอื่น ...... น้ำหอมร้านของผมเคยคิดที่จะตัดสินใจสั่งทำขวดน้ำหอม .... ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการ PR ร้าน (แน่ล่ะ ยอมรับว่าบล็อกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง) หากวันนึงที่ลูกค้าผมมากพอ ผมคงมี "ขวด" เป็นของตัวเอง
ขวดน้ำหอม 1 ขวดนั้น ราคาไม่เกิน 70 บาทครับ ... ค่าทำกล่องอีกไม่เกิน 30 บาทหรอก รวมๆแล้วค่าบรรจุภัณฑ์น้ำหอม 100 บาทก็เอาอยู่ครับ ...... ค่าเงินจมเงินลงทุนรวมแล้วก็อยู่ที่ 2-3 แสนปลายๆ นับว่าไม่ยาก หากอยากจะทำ .... แต่ทำแล้วสำเร็จมั๊ย ก็อีกเรื่องนึงครับ
ถึงตรงนี้ก็คงได้เห็นภาพรวมแล้วนะครับ ว่าการผลิตน้ำหอมเป็นยังไงกระบวนการทั้งหลายดูเหมือนไม่ค่อยต่างกัน น้ำหอมของแบรนด์อาจเหนือกว่าตรงที่การคัดสรรส่วนผสม แต่น้ำหอมก๊อบก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ในบ้านเราการขายน้ำหอมเป็น Me Too! Product ซะมากกว่า การพัฒนาคุณภาพจึงไม่เกิด
และที่ปฏิเสธไม่ได้เลยอีกหนึ่งอย่างคือ น้ำหอมแบรนด์ มีการตลาดที่ดี มีการ PR สินค้าที่เป็นเลิศ ของราคาเพียงร้อย จึงสามารถขายได้หลายพัน เรียกว่ากำไร 2000% เป็นอย่างต่ำทุกแบรนด์ ......
หากคุณใช้ "น้ำหอม" เพื่อสะท้อนรายได้ หน้าตาทางสังคม หรืองานศิลปะ น้ำหอมแบรนด์ก็ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับคุณ ..... แต่หากคุณใช้ "น้ำหอม" เพื่อสะท้อนรสนิยม ภาพของบุคลิก ประโยชน์การใช้งาน เพียงแค่น้ำหอมก๊อบทั่วไป ก็อาจจะตอบโจทย์ได้เช่นกันครับ
ทั้งนี้ มันก็มีขอบเขตของน้ำหอมก๊อบเองเช่นกัน .... ขวดน้ำหอม ชื่อกลิ่น และแผ่นป้ายโฆษณา ทุกอย่างนี้คือทรัพย์สินทางปัญญา ..... มันไม่เหมาะสมที่จะไปก๊อบซะทุกอย่างนะครับ
0 ความคิดเห็น:
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
แสดงความคิดเห็น