สวัสดีครับทุกๆท่าน
เนื่องจากตั้งแต่ผมเปิดร้านน้ำหอมมา มีหลายสายหลังไมค์โทรมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องน้ำหอมเป็นจำนวนมาก ซึ่งผมเองอยากจะอัดเทปเอาไว้เปิดซ้ำๆเหลือเกิน .... วันนี้ ผมจึงขอพื้นที่เล็กๆ ในการอธิบายเรื่องน้ำหอมเชิงการผลิตให้ได้อ่านกันครับ
(เป็นน้ำหนักหลักหลายล้านปอนด์ต่อปี) เพียงเท่านี้ก็ทำให้เห็นได้แล้วว่า ประเทศไทยเรานิยมน้ำหอมแบ่งขายกันขนาดไหน
อาจเป็นเพราะอากาศร้อนๆ ชื้นๆ ที่เอื้อต่อการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกระมังซึ่งหลายท่านก็ยังเข้าใจผิดว่า น้ำหอมช่วยลดกลิ่นเหม็น ..... จริงๆแล้วไม่ใช่เลยน้ำหอมเป็นวัตถุปรุงแต่งกลิ่นต่างหากครับ (ไม่อย่างนั้นคงใช้น้ำหอมฉีดดับกลิ่นตดกันจนก้นอักเสบไปบ้างแล้ว)
วัตถุดิบ
แหล่งขายวัตถุดิบสำหรับทำน้ำหอมแหล่งใหญ่คงไม่แพ้ย่านสำเพ็ง แหล่งขายของครอบจักรวาล(ครอบทุกจักรวาลด้วยซ้ำครับ .... เกิดมาจนจะวัยรุ่นตอนปลายแล้ว ผมเห็นที่ไทยนี่แหละ ที่มีย่านไชน่าทาวน์ที่สมบูรณ์ที่สุด หาอะไรเจอหมด)
สูตรน้ำหอมก๊อปกว่า 90% ของประเทศไทย มาจากที่นี่ทั้งนั้นครับผมและเป็นที่น่าแปลกตรงที่ พี่ไทยเราไม่เคยคิดจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาให้ใส่อะไรก็ใส่มันอย่างนั้น ..... เท่าที่ผมมีสูตรในมือตอนนี้คือ
สูตรน้ำหอมก๊อปกว่า 90% ของประเทศไทย มาจากที่นี่ทั้งนั้นครับผมและเป็นที่น่าแปลกตรงที่ พี่ไทยเราไม่เคยคิดจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาให้ใส่อะไรก็ใส่มันอย่างนั้น ..... เท่าที่ผมมีสูตรในมือตอนนี้คือ
1. หัวน้ำหอม ..................................... 7-25 %
กลิ่นไหนฮิต ฉันขอด้วย!
2. มัสก์ ............................................ unknown
ผสมอยู่ในแอลกอฮอล์แล้ว ฉันได้มา ฉันก็ใช้เลย3. มันก์เข้มข้น ................................... 2-5%
เขาบอกใส่แล้วกลิ่นติดทน ฉันก็ใส่แบบไม่ยั้งเลย
4. แอลกอฮอล์ .................................. 60-75%
เกรดอะไร ช่างแม่เพื่อนเหอะ
5. น้ำกลั่น ......................................... 2-5%
ใส่ไปเหอะ เขาให้ใส่แล้ว
ที่ผมแปลกใจอีกอย่างคือ ใครนะเป็นคนช่างตั้งชื่อสารเคมีจริงๆ เรียกกันจนเพี้ยนอย่าง มัสก์(Musk) สารหอมที่ได้จากกวางภูเขาเพศผู้ กลิ่นหอมอุ่น คล้ายกลิ่นเนื้อชายหรือหญิงแรกรุ่น มักใช้เป็น Fixative หรือสารให้กลิ่นติดทน .... ตอนนี้ชื่อของเขาเพราะขึ้นมากมายครับ ท่านผู้อ่าน ทั้งน้ำมันมาศ น้ำมันมัด น้ำมันมัดขาว ต่อไปผมว่าคงเป็นน้ำมันมัสศรี บุรีอาภา รยาย้วย แทบม้วยมรณ์แน่ๆ ^^
มัสก์เอง ใช้ผสมน้ำหอมเพื่อให้กลิ่นติดทนก็จริง แต่มันเป็นในกระบวนการปรุงกลิ่นครับ (Blendng) ไม่ใช่กระบวนการเจือจาง มัสก์เองก็เป็นสารหอม มีกลิ่นเฉพาะตัว Perfumer ได้คิดตำรับไว้แล้ว ว่าในน้ำหอมกลิ่นนั้น ควรใช้มัสก์เท่าไร .......... มัสก์ที่มากเกินไป ทำให้ Top note ไม่ค่อยกระจาย ความฟุ้งของกลิ่นลดลง และน้ำหอมจะมีกลิ่นหวานอุ่น และเจือจางคล้ายแป้ง เมื่อถึงช่วงเวลาของ Base note
นอกจากสารประกอบพวกนี้ ผมยังเห็น Propylene Glycol ถูกนิยมนำมาใช้อีกด้วยครับ
โดยให้ Definition ว่าเป็นสารลดกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ .... สารตัวนี้เป็นตัวเจือจางกลิ่นในอุตสาหกรรมกลิ่นผสมอาหาร (Flavour) สารป้องกันการแข็งตัวของน้ำสำหรับเติมรถยนต์ในประเทศที่หนาวเย็น และเป็นสารกลุ่ม Moistueriser ในเครื่องสำอาง
การนำมาใช้ในน้ำหอมผสม เป็นผลดีตรงช่วยลดอัตราการระเหยของกลิ่นครับทำให้น้ำหอมระเหยช้าลง (แต่การเติมปริมาณเท่าไรแล้วเป็นผลดี ต้องทำการทดลองครับ) ถ้าใช้น้อยเกินไป ก็ไม่ให้ผลอะไร แต่ถ้าใช้เยอะเกินไป สารตัวนี้จะดูดน้ำที่ใต้ผิวหนังมนุษย์ออกมาไว้ที่รอบๆโมเลกุลของมันเอง ทำให้ผิวแห้งทันตาเห็นครับ .... และจากสูตรที่ผมเห็น ตามที่ร้านเขาแนะนำ มันมากเกินไปครับ **
แสดงความคิดเห็น