ฝ่าย perfumery in general นั้นก็คือกลุ่มที่ใช้ทั้งส่วนผสมจากธรรมชาติและที่สังเคราะห์ขึ้น ส่วนกลุ่ม natural perfumery นั้นจะเน้นใช้เฉพาะส่วนผสมจากธรรมชาติล้วนๆ กลุ่มแรกนั้นจึงนับว่าเป็น mainstream หรือกระแสหลักในแวดวงคนทำน้ำหอม เพราะน้ำหอมโดยทั่วไปที่มีวางขายในตลาดนั้น มักประกอบด้วยส่วนผสมทั้งจากธรรมชาติและสังเคราะห์ในสัดส่วนราว 30:70 คือใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเพียง 30% ขณะที่ใช้สารสังเคราะห์มากถึง 70% ทั้งนี้เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาตินั้นมีราคาสูงมาก อีกทั้งไม่มีความแน่นอน เพราะผลผลิตในแต่ละปีย่อมขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศซึ่งคาดเดาไม่ได้ การใช้สารสังเคราะห์จึงสามารถลดต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงไปได้มาก สารสังเคราะห์จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญใน perfumer’s organ หรือโต๊ะทำงานของนักผสมน้ำหอมมืออาชีพ ซึ่งต้องคลุกคลีอยู่กับสารเคมีเหล่านี้อย่างมากในชีวิตประจำวัน
หลายคนในกลุ่มนี้จึงภูมิอกภูมิใจว่ากลุ่มของตนเป็นตัวแทนของมืออาชีพ ที่สามารถทำงานได้กับทั้งสารสกัดจากธรรมชาติและสารสังเคราะห์ และบางคนก็มีทัศนคติว่าพวก natural perfumery นั้นออกจะคับแคบและเป็น ‘มือสมัครเล่น’ เพราะใช้แต่ผลิตผลจากธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งก็ไม่ได้อาศัยพรสวรรค์อะไรซับซ้อนมากมายในการปรุงน้ำหอม เนื่องจากหัวน้ำมันหอมจากธรรมชาตินั้นมีอยู่ไม่กี่ชนิด เทียบไม่ได้เลยกับสารสังเคราะห์นับพันชนิดที่นักผสมน้ำหอมมืออาชีพต้องรู้จักและสามารถนำมาสร้างสรรค์ประกอบกันขึ้นเป็นกลิ่นใหม่ ที่อาจเป็นทั้งการเลียนแบบกลิ่นในธรรมชาติหรือการ ‘ตีความ’ กลิ่นต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติเสียใหม่ตามความคิดของตน
ข้างฝ่าย natural perfumery นั้นก็โต้แย้งว่า ออกจะทนไม่ได้กับกลิ่นสังเคราะห์ซึ่งความซับซ้อนของกลิ่นเทียบกันไม่ได้กับหัวน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เพราะพืชพรรณต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้น ทุกอย่างล้วนประกอบด้วยสารเคมีนับร้อยชนิดซึ่งทำให้เกิดกลิ่นหอมเฉพาะตัวของพืชนั้นๆ และนักเคมีเองก็ยังไม่สามารถระบุรายชื่อสารประกอบเหล่านั้นได้ครบทุกตัวเสมอไป มีเพียงสารประกอบสำคัญบางตัวที่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง และเมื่อนำมาใช้ปรุงกลิ่นเลียนแบบกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ก็ไม่สามารถทำได้เหมือนของจริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆ คือไม่มีอะไรจะมาเทียบผลงานการสร้างสรรค์ของ Mother Nature ได้นั่นเอง
กลุ่ม natural perfumery นี้จึงอุทิศเวลาให้กับการปลูกพันธุ์ไม้ต่างๆ แล้วนำผลผลิตที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นดอก ผล เปลือก ราก ใบ มาผ่านกระบวนการสกัดกลิ่น ซึ่งก็มักเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทำได้เองในครัวเรือน เช่น กรรมวิธี tincturing หรือการนำส่วนต่างๆ ของพืชมาแช่ในเอธานอลความเข้มข้นสูง เพื่อให้กลิ่นหอมในพืชละลายออกมา ถ้านำส่วนต่างๆ ของพืชมาแช่ในน้ำมัน อาทิ น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันปาล์ม ก็เรียกว่า infusion และหากน้ำมันนั้นต้องผ่านความร้อนด้วยก็เรียกอีกอย่างว่า maceration บางคนถึงกับใช้วิธีเก่าแก่ซึ่งทำกันในเมือง Grasse ของฝรั่งเศส คือ enfleurage หรือการสกัดด้วยไขมันเย็น ซึ่งเป็นการนำกลีบดอกไม้มาโรยลงบนไขมันสัตว์ อย่างมันหมูหรือมันรอบไตของแกะและวัว เพื่อสกัดกลิ่นหอมออกจากกลีบดอก หากมีทุนทรัพย์มากหน่อยก็อาจซื้ออุปกรณ์กลั่นแบบใช้ไอน้ำขนาดย่อม สำหรับใช้สกัดกลิ่นสมุนไพรหรือเครื่องเทศที่ปลูกขึ้นเองในครัวเรือนโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี หลายคนประสบความสำเร็จถึงขั้นเปิดร้านเล็กๆ หรือเปิดเว็บไซต์ขายน้ำหอมที่ปรุงขึ้นเองแบบ custom made ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งทำน้ำหอมกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครได้อีกด้วย
กระนั้น การใช้สารสกัดจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มหลังนี้ ก็ยังไม่วายถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักเคมีและนักผสมน้ำหอมมืออาชีพบางคนว่า ไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอไป เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ว่า สารเคมีหลายชนิดซึ่งมีอยู่ในพืชนั้นไม่ได้เป็นพิษภัยต่อร่างกายอย่างแน่นอน ก็เท่ากับว่า ผู้ใช้น้ำหอมจากธรรมชาตินั้นอาจตกอยู่ในภาวะเสี่ยงยิ่งกว่าผู้ที่ใช้น้ำหอมจากสารสังเคราะห์เสียอีก เพราะสารสังเคราะห์เหล่านั้นล้วนผ่านการวิจัยมาแล้วว่าไม่มีผลกระทบข้างเคียงต่อร่างกาย อีกทั้งกฎหมายของประเทศผู้ส่งออกน้ำหอมรายใหญ่ต่างก็มีการควบคุมอย่างเข้มงวด โดยห้ามใช้สารเคมีบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือกำหนดปริมาณขั้นต่ำสำหรับสารบางชนิดที่อนุญาตให้ใช้ได้
ข้อโต้แย้งนี้ ฝ่าย natural perfumery บางคนก็เถียงว่า ในเมื่อตนเองใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ถึงขั้นที่บางอย่างสามารถรับประทานได้ด้วยซ้ำ ก็ย่อมไม่เป็นพิษภัยใดๆ ต่อผู้ใช้น้ำหอม ทั้งยังแทบไม่ปรากฏว่ามีผู้ใช้น้ำหอมจากธรรมชาติแล้วเกิดโรคภัยต่างๆ จึงน่าจะสร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง
หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว perfumery in general ก็คงเหมือนหนังฮอลลีวู้ดระดับ block buster หรือหนังทำเงินที่เจาะกลุ่มลูกค้าในวงกว้างระดับ mass ขณะที่ natural perfumery นั้นก็เทียบได้กับหนังอินดี้ฟอร์มเล็กจากผู้สร้างอิสระ ใครนิยมชมชอบแบบไหนก็สามารถเลือกเอาได้ตามสะดวก
ตัวผู้เขียนนั้นได้กล่าวไว้ตั้งแต่ทีแรกว่า สนอกสนใจความเคลื่อนไหวของทั้งฝ่ายธรรมชาติและสังเคราะห์ แต่ความที่เป็นคนชื่นชอบธรรมชาติ จึงออกจะเทใจให้ข้าง natural perfumery มากกว่าอยู่สักหน่อย เพราะเห็นด้วยว่าน้ำหอมที่มีขายตามท้องตลาดทุกวันนี้ใช้กลิ่นสังเคราะห์มากเสียจนดมแล้วเวียนหัว กลิ่นเหล่านี้มักฉุนแรงและปรุงแต่งได้ไม่เหมือนของแท้จากธรรมชาติ เมื่อดมดูแล้วสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นของ ‘เทียม’ แม้จะเป็นของเทียมที่ผ่านการปรุงแต่งมาอย่างดี แต่ก็ไม่สามารถให้กลิ่นหอมลึกล้ำได้อย่างน้ำหอมที่สกัดจากวัตถุดิบในธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์
พวก natural perfumery นี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนเริ่มปลูกดอกไม้เมืองร้อนและพืชสมุนไพรต่างๆ ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศของบ้านเรา แต่ถือเป็นไม้หายากและมีค่ามากในสายตาของฝรั่งตะวันตก หลายคนจึงถึงกับออกอาการอิจฉาเมื่อทราบว่าผู้เขียนปลูกดอกไม้หอมเมืองร้อนไว้หลายชนิด และสามารถเก็บดอกมาผ่านการสกัดกลิ่นอย่างง่ายๆ ได้เป็นผลสำเร็จ ใครที่ชอบกลิ่นหอมๆ จะลองไปทำดูก็ได้ รับรองว่าจะสามารถสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร และมีความพิเศษกว่าน้ำหอมที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด ทั้งยังเหมาะจะใช้เป็นของขวัญ ของฝากให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายในโอกาสพิเศษต่างๆ ก็ถือเป็นงานอดิเรกสนุกๆ อีกอย่างที่น่าลอง
แสดงความคิดเห็น