เรื่องหอมหอม เพื่อความผอม
90 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีปัญหาเรื่องความอ้วน แพทย์กล่าวว่า มีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารเกินกว่าความต้องการของร่างกายและหลายๆ ครั้งอาหารจำนวนมากที่กินเข้าไปนั้น ร่างกายเผาผลาญหรือย่อยได้ไม่ดี ก็จะตกค้างเป็นของเสียและไขมันสะสมในร่างกาย
ศาสตร์ของการบำบัดด้วย น้ำมันหอมระเหย ( Aromatherapy ) กล่าวว่า มีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยบางชนิดช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
มะกรูด ( Leech Lime ) คนไทยเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว นำผลมะกรูดสดมาคลึงให้ต่อมน้ำมันที่ผิวแตกแล้วสูดดม หรือใช้น้ำมันหอมระเหย bergamot ซึ่งมีลักษณะกลิ่นและคุณสมบัติใกล้เคียงกัน สามารถหาซื้อได้ง่าย นำมาจุดเผาเอากลิ่นก็ได้ นอกจากจะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารแล้ว ยังมีผลทางจิตใจ ช่วยทำให้ใจสงบ สามารถควบคุมอารมณ์ และช่วยให้หลับสบายขึ้นด้วย กลิ่นมะกรูดและ bergamot นี้จึงเหมาะกับอาหารมื้อสุดท้ายของวันเป็นอย่างยิ่ง
ส้ม ( Orange ) น้ำมันหอมระเหยสกัดกลิ่นส้มมีจำหน่ายทั่วไป หาซื้อได้ง่ายเช่นเดียวกับมะกรูด วิธีการใช้ก็ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่คนไทยไม่นิยมรับประทานเปลือกส้ม จะมีเพียงอาหารบางชนิด เช่น หมี่กรอบ ที่ซอยผิวส้มซ่าลงไปด้วย แต่สำหรับอาหารต่างประเทศ ผิวส้มใช้ทำอาหารกันมาก เช่น แยมผิวส้ม ผิวส้มโรยหน้าขนมหวาน ซึ่งจะได้ประโยชน์มากในการช่วยย่อยอาหาร กลิ่นส้มยังช่วยกระตุ้นให้สดชื่นแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า เหมาะกับมื้อเช้าและการเริ่มวันใหม่
แคลรี่เสจ ( Clary Sage ) น้ำมันหอมระเหยชนิดนี้ไม่ค่อยเห็นมีขายในบ้านเรา จะมีก็แต่ใบเสจ ( พืชตระกูลเดียวกัน ) เป็นผักที่ใช้ประกอบในอาหารต่างประเทศหลายอย่าง ใบเสจมีหลายพันธุ์ หลายสี ให้กลิ่นและรสต่างๆกัน ชนิดสีม่วงและแดงเป็นส่วนผสมสำหรับสอดไส้เนื้อสัตว์ มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารที่ย่อยยากประเภทเนื้อ นม และไข่ได้ดี การใช้กลิ่นแคลรี่เสจ หรือใบเสจเล็กน้อยยังช่วยลดความเครียด บรรเทาอาการหดหู่หรือกระวนกระวายได้ดีอีกด้วย
ไธม์ ( Thyme ) หากอยากได้กลิ่นไธม์ก็ไม่จำเป็นต้องหาซื้อน้ำมันสกัดราคาแพง เพราะปัจจุบันใบไธม์ปลูกได้ในประเทศ มีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต นิยมใช้เพิ่มกลิ่นและรสแก่อาหารประเภทซุป สตู เนื้อย่างแบบฝรั่ง หากคนที่ชอบรับประทานอาหารฝรั่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ การรับประทานอาหารใบไธม์นี้ด้วยจะช่วยทำให้ย่อยได้ง่ายขึ้น
มิ้นต์ ( Mint ) น้ำมันหอมระเหยกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยกันดี มีทั้งในหมากฝรั่ง ลูกอม และอาหารอีกหลายชนิด ในการนำมาใช้เพื่อช่วยเรื่องย่อยอาหารนี้ทำได้ง่ายมาก เพราะมิ้นต์เมืองไทยก็มี คือสะระแหน่ คุณสมบัติในเรื่องกลิ่นอาจใช้สู้มิ้นต์ต่างประเทศไม่ได้ แต่ถ้าใช้วิธีรับประทานจะสามารถได้รับประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยจากสะระแหน่ อย่างเต็มที่
ในกรณีที่เกิดปัญหาจากระบบย่อย เช่น กินแล้วท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมหรือกรดมากในกระเพาะอาหาร เราสามารถประยุกต์นำน้ำมันหอมระเหยสกัดกลิ่นต่างๆ ที่กล่าวมามาใช้นวดหรือทาบริเวณผิวหนังบริเวณท้องเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ได้ด้วย เช่นเดียวกับ คนไทยสมัยก่อนที่นำมหาหิงคุ์ ( ว่านไทยโบราณชนิดหนึ่ง ) มาทาท้องแก้อาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้ดี เพราะอนุภาคเล็กของน้ำมันหอมระเหยจะซึมผ่านผิวหนังและระบบน้ำเหลืองเข้าสู่ อวัยวะต่างๆภายในร่างกาย แต่การนำมาใช้กับผิวหนังต้องนำน้ำมันหอมระเหยมาเจือจางกับน้ำมันรองพื้นก่อน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ ฯลฯ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
ล้วนแต่เป็นของไม่ไกลตัวเลย คนที่อยากลดน้ำหนัก วิธีง่ายๆอย่างการใช้กลิ่นหรือการรับประทานพืชผักที่มีน้ำมันหอมระเหยเหล่า นี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ไม่น่าพลาด
แสดงความคิดเห็น