น้ำหอม ของแท้ ใช้ยังไง ที่มาของน้ำหอมเป็นยังไง ความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม การเลือกซื้อน้ำหอม แหล่งซื้อน้ำหอม ทุกๆเรื่องของน้ำหอม คุณสามารถหาได้จากที่นี่ http://น้ำหอม-น้ำหอม.Blogspot.com

ประวัติ น้ำหอม ตอน 1


ประวัติของน้ำหอมมีความเกี่ยวพันอันลึกซึ้งกับวิวัฒนาการของเผ่าพันธ์มนุษย์ เมื่อครั้งก่อนประวัติศาสตร์มนุษย์รู้จักการปรุงแต่งรสอาหารด้วยการเอากลิ่นหอมจากน้ำมันและเนื้อไม้

ชาวอียิปต์โบราณบูชาเทพเจ้าของเขาด้วยเครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการเฉลิมฉลองพิธีการต่างๆทางด้านศาสนาและประทินความงามของสตรี ชาวกรีกจะเดินทางกลับจากการแสวงหาโชคต่างแดนด้วยการนำเครื่องหอมใหม่กลับมาด้วย ในขณะที่ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติด้านการบำบัดโรคร้ายได้

การใช้น้ำหอมได้ลดน้อยถอยลงในยุโรปเนื่องจากการบุกรุกเหยียบย่ำของพวกป่าเถื่อน แต่ศิลปะ และการพัฒนาของน้ำหอมกลับเกิดขึ้นในโลกอิสลาม ถึงแม้ว่าได้มีการคิดผลิต เทคนิคต่างๆในการกลั่นและผลิตสารหอม ชาวอาหรับและชาวเปอร์เชียได้กลายเป็นผู้นำในการใช้เครื่องหอมอย่างไม่สามารถโต้เถียงได้ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 12 โลกของชาวคริสเตียนได้กลับมาให้อารยธรรมสำคัญและค้นคว้าเกี่ยวกับการสกัดน้ำหอมทั้งนี้เนื่องจากเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความมีอารยธรรม และด้วยเหตุผลของสุขลักษณะที่ดี ในขณะที่มีความเชื่อในด้านตรงกันข้ามว่ากลิ่นที่เป็นพิษเป็นบ่อเกิดของโรคร้าย และเสื่อมถอย

ในศตวรรษที่ 16 เป็นสมัยแห่งการรวมตัวเป็นหนึ่งระหว่างการทำถุงมือ และน้ำหอม เป็นยุคแห่งแฟชั่นของของถุงมือหอม แม้ว่าชนชั้นสูงในสมัยกลางของยุโรป ได้มีการชำระล้างร่างกายเป็นประจำ ในทางปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกละเลยมาถึง 2 ศตวรรษ หลังจากการฟื้นฟูศิลปะวิทยาในทวีปยุโรป ในระหว่างศตวรรษที่ 14-16 ซึ่งเป็นผงสืบเนื่องจาก " สภาของเทรนท์ " ( Council of trent ) การจำหน่ายน้ำหอมจึงได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการในการกลบกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์

ในศตวรรษที่ 17 ซีเวต ( Civet) และมัส ( Musk) ได้กลายเป็นแฟชั่นในขณะที่ความพึ่งพอใจในกลิ่นที่หอมหวาน ดอกไม้ และกลิ่นผลไม้ ได้เข้าแทนที่ กลิ่นยั่วยวนใหม่ๆ เป็นแม่กลิ่นในศตวรรษที่ 18 มีการใช้น้ำหอมตัวใหม่ๆ และขวดน้ำหอม ที่ผลิตขึ้นอย่างสุรุ่ยสุร่ายแม้กระทั่งมีการเติมน้ำหอมลงไปในถ่านร้อนๆ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอม ในวันที่เรียกกันว่า " Ash Wednesday " เถ้าถ่านแห่งวันพุธ ความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหะกรรมเคมี ในศตวรรษที่ 19 ทำให้มีการผลิตน้ำหอมสังเคราะห์ ตลอดจนถึงน้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติ และการประดิษฐ์ขึ้นของน้ำหอมกลิ่นใหม่ การผลิตน้ำหอมในเชิงทางการค้าได้อุบัติขึ้นในฝรั่งเศส ณ.เมืองกราเซ ( Grasse) ท่ามกลางความเจริญมั่งคั่งของธุรกิจทางการค้า น้ำหอมความหรูหราความก้าวหน้าเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 20 น้ำหอมยังคงเป็นขุมสมบัติที่ถูกรักษาไว ้เพื่อรอการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เข้าสู่โลกของศิลปะและสิทธิพิเศษ ตลอดจนได้เข้าสู่สมรภูมิการค้าที่ปราศจากความปราณี

น้ำหอมในทางโบราณคดีแบ่งตามประเทศ และอารยธรรม อียิปต์โบราณ



แม้ว่าน้ำหอมรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันจะมีพื้นฐานเป็นส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต่ในสมัยอียิปต์โบราณหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ น้ำหอมมีบทบาทสำคัญในการเจริญก้าวหน้าของสังคมเป็นอย่างมากมีสองปัจจัยหลักในการใช้น้ำหอม

ในขณะนั้นใช้ในการเผาเพื่อกลิ่นหอม และผสมเป็นขี้ผึ้งเพื่อทาตัว วิธีการอบหรือรมควัน ตลอดจนการเผาไม้หอม , เครื่องเทศ , ผลไม้แห้ง และยางไม้ต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกลิ่นหอมนานาชนิดที่กระจายไปในอากาศได้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติภายในวัดเพื่อพิธีกรรมทางศาสนาจากวัตถุดิบพื้นๆ ได้กลายเป็นการผสมผสานเครื่องหอมหลายชนิดเข้าด้วยกัน ให้ได้มาซึ่งกลิ่นหอมใหม่ๆ หลักฐานสำคัญที่ได้ค้นพบในบทบันทึกของ EDFOU และ PHILAE เป็นข้อมูลอันล้ำค่าที่ได้บอกเล่าถึงวิวัฒนาการเกี่ยวกับน้ำหอมจากตัวอักษรโบราณ ในเอกสารเก่าแก่ที่ได้ค้นพบในสมันนั้น เราได้ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตำรา หรือวิธีปรุงแต่งกลิ่นหอมตามตำรับโบราณ เครื่องหอมที่ขึ้นชื่อและสำคัญในสมัยนั้น อาทิ KYPHI MYRRH,LENTISK,JUNIPER , FENUGREENSEED,PISTACHIO และ CHUFA ได้ถูกนำมาบดและร่อนเป็นผงละเอียด ผงเหล่านี้ได้ถูกนำมาผสมกับไวน์ ก่อนจะถูกนำมาต้มพร้อมกับยางสน และน้ำผึ้งให้ข้นและเหนียว ชาวอียิปต์ได้ใช้สองสิ่งประดิษฐ์นี้ในการเผาเครื่องหอม ภาชนะเผาเครื่องหอมด้วยถ่านชนิดโลหะ และ INCENSE ARM เครื่องมือจับเครื่องหอมมีลักษณะเป็นด้ามถือไม้หรือโลหะ มีปลายอีกด้านหนึ่งสามารถรองรับด้วยโลหะเล็กๆ ที่บรรจุเครื่องหอมอยู่ ขี้ผึ้งหอมและน้ำหอมได้มีการนำมาใช้กับผิวหนังบนร่างกาย ทั้งทางในลักษณะของเครื่องสำอางค์ และทางด้านยา เนื่องจากการกลั่นและแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น ดังนั้นไขมันสัตว์และน้ำมันพืชได้ถูกนำมาใช้ในการดูดซึมซับกลิ่นหอมจากดอกไม้และยางไม้ สีผสมและยากันบูดได้ถูกผสมลงไปในสารสกัดนั้นด้วย ขี้ผึ้งหอมที่ได้มาได้ถุกแบ่งบรรจุไว้ในหม้อ และแจกันซึ่งสลักจากหินปูนชนิดหนึ่ง เครื่องปั้นดินเผา , หินแกะสลัก , หรือขวดเซรามิกสำหรับบรรจุจะถูกทำขึ้นเป็นรูปสัตว์ ขวดแก้วได้ถูกค้นพบในเวลาต่อมา ในรูปแบบเหยือก แจกัน และแก้วเหล้าที่มีสีผสมหลายๆสีในชิ้นเดียวกัน ในระหว่างสมัยเก่าและกลางในอาณาจักรที่ปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดิน น้ำหอมได้ถูกสงวนไว้เพื่อใช้ในพิธีกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ โดยเฉพาะ อาทิพิธีฉลองทำความสะอาดร่างกาย ใช้ชโลมร่างกายของผู้ตายและบูชาเทพเจ้า ในที่สุดน้ำหอมได้ถูกนำมาใช้สำหรับเทศกาลต่างๆ ในสมัยอาณาจักรสมัยใหม่ ปี ค.ศ. 1580 - 1085 ก่อนคริสตกาลซึ่งเรียกกันว่าเป็นน้ำหอมพิเศษสำหรับเทศกาลแต่อย่างไรก็ตามน้ำหอมเหล่านั้นก็ยังถูกจัดเตรียมขึ้นโดยพระผู้สอนศาสนา สตรีอียิปต์ก็ใช้น้ำหอมในรูปครีมและน้ำมันหอมระเหยในรูปของ TOILETRIES และเครื่องสำอาง เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ตัวเองในระหว่างมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่รักของตน

ยุคสมัยกรีก


เจริญรอยตามตามชาวอียิปต์ ชาวกรีก ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำหอมขึ้นมาอีกมากมายทั้งเพื่อจุดประสงค์ทางการใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และใช้ประจำวัน น้ำหอมได้มาเป็นแฟชั่นในยุคกรีก ได้มีการนำมาใช้กับเสื้อผ้า บนเรือนร่าง ทั้งในรูปของน้ำมันและครีม ไม่ว่าเป็นหลังอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อนและหลังอาหาร ด้วยจุดประสงค์ของสุขลักษณะและความสุขส่วนตัว ชาวกรีกเชื่อว่าน้ำหอมเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ร่างกายของผู้ตายจะถูกชโลมด้วยน้ำหอมก่อนที่จะนำไปฝัง พร้อมกับของใช้ส่วนตัวของผู้ตาย
ซึ่งมักจะมีขวดบรรจุน้ำหอมด้วย ครีมน้ำหอมได้ถุกบรรจุด้วยภาชนะทรงกลม ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้กับร่างกายโดยตรงได้อย่างสะดวกสบาย ภาชนะที่ใช้บรรจุสมันนั้นมักทำจากหินปูนขาวชนิดหนึ่ง และถูกตกแต่งให้สวยงามตามแบบฉบับของสไตล์เอเธน ( ATHENIA STYLE) จากศตวรรษที่ 16 ก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ขวดต่างที่ทำในเกาะโรดส์( RHODES ) ในแคว้นแหลมบอลข่าน จะมีรูปทรงตามแบบต้นฉบับดั้งเดิมจะมีฐานที่ค่อนข้างกว้าง ส่วนบนเป็นรูปสลักครึ่งตัวของเทพเจ้า , รูปสัตว์ , รูปนางเงือก และอื่นๆ

ยุคสมัยโรมัน


ด้วยอิทธิพลจากประเทศในตะวันออกและกรีก ชาวโรมันไม่ทำการศึกษาค้นคว้าน้ำหอมด้วยความหลักแหลม และรวดเร็วพร้อมไปกับเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน ถึงแม้ว่าจูเลียต ซีซ่า ( JULIUS CAESAR) ผู้ยิ่งใหญ่จะมีความประสงค์ให้ระงับการใช้น้ำหอมที่ได้มาจากต่างแดน การใช้น้ำหอมในพิธีศพ และพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนชีวิตประจำวันของชาวโรมัน จนถึง อินเดีย , แอฟริกา ตลอดจนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางแถบอาหรับ โดยสืบเนื่อง
จากการเจริญเติบโตของเส้นทางเดินเรือตลอดจนความรุ่งเรือง การเดินทางของเหล่าพ่อค้าวานิช ซึ่งได้มีการเดินทางติดต่อระหว่างทวีปใหม่ๆ ในสมัยนั้น การค้าขายน้ำหอมในสมันนั้นมักจะเชื่อมโยงกับทางการแพทย์ เภสัชกร และร้านขายยา ชาวโรมันเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติทางด้านเป็นยารักษาโรค การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ่ได้แก่การนำเครื่องแก้ว มาเป็นภาชนะบรรจุเครื่องหอมต่างๆ ชาวโรมันได้พัฒนาเทคนิคการเป่าแก้ว ซึ่งได้คิดค้นขึ้นในประเทศ ซีเรีย ( SYRIA) ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล

ยุคแห่งโลกอิสลาม

การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรคริสเตียน ในโลกตะวันตก ได้นำมาซึ่งความเสื่อมถอยของการใช้น้ำหอม ทั้งในด้านชีวิตประจำวันเพื่อความพอใจส่วนตัวและทางด้านพิธีกรรมทางศาสนา การฝังเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ตาย ได้เป็นไปในทางลดลงจนถึงจางหายไปในทางตรงข้ามกลับมีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองในโลกอาหรับสืบเนื่องจากธุรกิจจากการค้าเครื่องเทศ การคิดค้นและประดิษฐ์เครื่องกลั่นตลอดจนเทคนิคการกลั่นใหม่ๆ สวนดอกไม้ในพระราชวังอัลฮัมบรา ( ALHAMBRA PALACE) ในเมืองทางตอนใต้ของประเทศสเปน ชื่อ กรานนาดา( GRANADA) เป็นสิ่งเพียงพอสำหรับการยืนยันถึงความสง่างาม โก้หรู และบทบาทความสำคัญของน้ำหอม ที่มีต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนสมัยนั้นแม้กระทั่งโมฮัมเม็ด ( MOHAMMED) เองก็ยังทรงตรัสว่าสิ่งที่ท่านรักมากที่สุดในโลกได้แก่ สตรี เด็กและน้ำหอมยุโรปกลับต้องรอจนกระทั่งสงครามครูเสด ( CRUSADES) และการแทรกแซงจากนักรบครูเสดชาวเวนิสซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนให้ชาวโลกเรียกร้องเกี่ยวกับความสุขกายสบายใจ มากกว่าความยึดมั่นในพระเจ้า และความเคร่งครัดทางศาสนา การค้นพบวิธีการใช้สบู่และตลอดจนการกลับมานิยมใช้น้ำหอม

0 ความคิดเห็น:

น้ำหอม

ร้าน น้ำหอม น้ำหอมแท้ น้ำหอมถูก

น้ำหอมแท้